เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๑ ต.ค. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ดูแลเรื่องร่างกาย เห็นไหม พ่อแม่หาเลี้ยงเรา หาเลี้ยงครอบครัว มันอบอุ่น มันอบอุ่นเพราะอะไร? เพราะมันเป็นของตายตัว เพราะพ่อแม่เราต้องให้เราอยู่แล้ว อย่างเด็กๆ นี่นะพ่อแม่ให้ พ่อแม่รักษา มันก็เรื่องปกติ เรื่องปกตินะไม่ตื่นเต้นหรอก แต่ถ้าเป็นคนนอกคนอื่นยื่นให้ ไม่ใช่พ่อ ไม่ใช่แม่เรา ไม่ใช่ญาติเรา เขายื่นให้เราทำไม มันจะตื่นเต้นเลยล่ะ มันจะตื่นเต้นของมันมาก เห็นไหม

แต่...พระก็เหมือนกัน เวลาพระออกบวชแล้ว ศากยบุตรพุทธชิโนรส เป็นลูกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นศากยบุตรนะ เป็นบุคคลชาวศากยะ จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเป็นลูกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในธรรมวินัย ธรรมวินัยจะเป็นศาสดาของเธอ แล้วเวลาธรรมวินัยมันเป็นตู้พระไตรปิฎก เวลาบวชมาแล้วมันไม่มีใครดูแล ไม่มีใครรักษา มันจะว้าเหว่ขนาดไหน ความว้าเหว่อย่างนี้แล้วจะไปภาวนา เห็นไหม

เราบวชมาเพื่ออะไรกัน ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ถ้าไม่มีปริยัติเราก็ว่าเรางงกัน เราไม่เข้าใจกัน เพราะอะไร? เพราะใจมันโลเล ถ้าใจมันมีความเข้มแข็งขึ้นมานี่นะ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ อุปัชฌาย์บวช เพราะทุกคนต้องบวชมาด้วยกัน จะเกิดจากคฤหัสถ์มาเป็นภิกษุต้องบวชโดยอุปัชฌาย์ อุปัชฌาย์ให้ถือนิสสัย ๔ ให้เอากรรมฐาน ๕ กรรมฐาน ๕ เห็นไหม เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ

ถ้าพูดถึงเรามีจิตศรัทธา มีความยึดมั่นถือมั่น เรามีความเชื่อมั่นของเรา สิ่งนี้เป็นงานที่เราจะแก้ไขได้ยากมากเลย กว่าเราจะทะลุผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เข้าไปในเรื่องของหัวใจเราได้ มันว้าเหว่ มันว้าเหว่ที่หัวใจนะ แต่มันติดที่ไหนล่ะ หัวใจนี้มันอยู่ในร่างกายนี้ ร่างกายมีอะไรไปครอบงำมันไว้ ผิวหนังนี้ครอบงำไว้หมดเลย สิ่งที่ว้าเหว่อย่างนี้ แล้วถ้ามันมีครูมีอาจารย์คอยดูแล เห็นไหม ถ้ามีความอบอุ่นขึ้นมา มันไม่เกิดนิวรณธรรมนะ เวลาประพฤติปฏิบัติกัน นู่นก็ขาด นี่ก็ขาด ขาดไปหมดเลยนะ ทำอะไรก็จะห่วงหาอาลัยอาวรณ์ไปหมดเลย มันห่วงกับสิ่งที่เป็นเรื่องของร่างกายไง ความเป็นอยู่ปัจจัยเครื่องอาศัย เห็นไหม

ดูสิ ฝนตก น้ำท่วม ฝนแล้ง นาล่ม มันจะเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์นะ แล้วมาในปัจจุบันนี้ แล้วอนาคตจะเป็นต่อไปข้างหน้า ถ้าเป็นต่อไปข้างหน้า สิ่งนี้มันเป็นเรื่องธรรมดา เป็นอุปสรรค เป็นเรื่องของธรรมดา สิ่งธรรมดาเพราะเราเกิดมาแล้วเราต้องเจอสภาพแบบนี้

เราขับรถไปในบนถนนหนทางสิ มันมีสิ่งกีดขวาง มันมีอะไรต่อมา มันมีทั้งนั้นล่ะ ถ้าเกิดจราจรมันโล่ง ถนนหนทางมันสะดวกกับเรา เราก็สบายสะดวกกับเรา แต่ถ้าเราไปในแต่ละพื้นถิ่น เห็นไหม ประเทศอันสมควร ไปทางภาคเหนือ มันจะขึ้นเขาลงเขาลงห้วย มันจะคดโค้งอยู่อย่างนั้น เพราะภูมิประเทศเขาเป็นอย่างนั้น ดูสิภาคกลางนี่เป็นที่ราบลุ่ม มันจะไปทางสะดวกสบาย สะดวกสบายมันก็เป็นคราวเป็นกาลไง เป็นคราวเป็นกาลของชีวิตเรา ชีวิตเรามันต้องมีอุปสรรคบ้าง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลยนะ มนุษย์เราเป็นสัตว์ประเสริฐ เป็นผู้ที่ฉลาดมาก แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดเองนะว่า “โง่กว่าสัตว์” มนุษย์เรานี่โง่กว่าสัตว์ เพราะสัตว์มันมีอิสรภาพมาก มันอยู่ในธรรมชาตินะ สมมุตินี้เป็นธรรมชาติ เพราะสมมุติในฤดูกาลต่างๆ มันเป็นธรรมชาติ มันก็อยู่ในกฎของธรรมชาตินั้น มันอยู่ในสมมุตินั้น

เราตั้งกติกากัน เราเขียนกฎหมายขึ้นมาๆ กฎหมายขึ้นมา เขียนขึ้นมาเพื่ออะไร? เพื่อให้เราอยู่ในกรอบนั้น แต่ถ้าเราเป็นคนดี เราไม่ทำสิ่งที่ผิดกฎหมายเลย กฎหมายนั้นไว้บังคับคนที่เอาเปรียบเขา เอาสังคมนั้น เห็นไหม นี่เราติดในกรอบของเราเอง มนุษย์เป็นผู้สร้างกติกาขึ้นมาเอง แล้วมนุษย์ก็ติดในกติกาของตัวเอง

แล้วดูฤดูกาลสิ หน้าฝน หน้าหนาว ฤดูกาลมันก็ครอบงำอีกชั้นหนึ่ง มันครอบงำนะ เราเกิดมาแล้ว การเกิดมาแล้วเกิดมาต้องเจอสภาวะแบบนี้ อยู่ใต้ฟ้าไง อยู่ใต้ฟ้านี่ฤดูกาลอย่างนี้มันแปรปรวนตลอดเวลา แล้วยิ่งต่อไปโลกร้อนมันยิ่งจะแปรปรวน เขาว่าโลกร้อนนะ โลกร้อนนี่วิกฤตของโลกร้อน ทุกคนจะตกใจเพราะสิ่งต่างๆ ที่เกิด พายุต่างๆ มันจะรุนแรงมาก แต่กิเลสร้อนไม่มีใครสนใจนะ กิเลสร้อน เห็นไหม เพราะสภาวะมันเป็นแบบนี้

ถ้าฤดูกาลมันขึ้นมานี่ ถ้าคนมีอาชีพแตกต่างกัน คนที่ทำสวน ทำไร่ เขาต้องการฝน ต้องการฟ้าตกต้องตามฤดูกาล คนที่เขาต้องการแดดเขาต้องการอะไร มันก็ขัดแย้งกัน เห็นไหม ความไม่สมดุลในสังคม ความไม่สมดุลในการเกิดมาในสังคมนี้ แล้วเราเกิดในสังคมนี้ไหม? เราเกิดในสังคมนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นมานี่กิเลสร้อน ถ้ากิเลสร้อนมันจะต่อต้านในหัวใจ มันจะไม่พอใจสิ่งต่างๆ เลย ถ้าเก็บไว้ในหัวใจได้นะ เก็บไว้ในภายในเราก็ไม่แสดงออก ถ้าเก็บไว้ไม่ได้มันก็แสดงออกมา เป็นการขัดแย้งกับสังคม สังคมนี้เป็นสังคมภายนอก ถ้าสังคมภายในถ้ากิเลสร้อน ถ้าเราเข้าใจของเราสภาวะแบบนั้น

อาชีพของเรา อาชีพถ้ามันขัดแย้งกับเขา ฤดูกาลเราก็ต้องป้องกัน เวลาน้ำท่วมขึ้นมาบางคนเขาป้องกันได้นะ เขาป้องกันเรือกสวนไร่นาของเขาได้ เพราะอะไร? เพราะเขาเตรียมตัวมาแต่ต้น เขามีคันนาของเขา เขามีคันคูคลองของเขา เขาระบายน้ำของเขา เขาลงทุนของเขา เขาขยันหมั่นเพียรของเขา เพราะเขาต้องดูดน้ำออก เขาต้องเอาน้ำออกจากในสวนในไร่นาของเขา เขาต้องลงทุน เขาต้องอะไร เขาคิดของเขานะ

แต่เรานี่ไม่ทำอะไรกันเลย แล้วจะให้มันเป็นไปจากภายนอก แล้วถ้าจากภายในถ้าเราไม่ขวนขวายกันเลย เราจะไม่ทำในสิ่งใด เราจะไม่มีอุปสรรคใด นี่ฝนหยุดแล้ว เวลามันอุปสรรคมา อุปสรรคมา ถ้าผ่านไปแล้วก็หมดแล้ว ถ้ามันผ่านไปแล้ว ผ่านไปเพราะอะไร? ผ่านไปเพราะมันเป็นเรื่องฤดูกาล เป็นเรื่องของภายนอก มันเป็นอนิจจัง แล้วภายในมันจะติดข้องไหมล่ะ ภายในมันติดข้องนะ มันไม่น่าเป็นอย่างนั้นเลย ไม่น่าเป็นอย่างนั้น

จะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ มันเป็นเรื่องของสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ สิ่งที่ควบคุมไม่ได้นะ เราจะควบคุมหัวใจของเราได้ด้วย ทาน ศีล ภาวนา ถ้ามีการสละทาน เราสละทาน มันฝึกใจนะ การสละทาน ดูสิเรามาทำบุญกันนี่ เรามาไกลขนาดไหน เราต้องเดินทางมาขนาดไหน เพราะอะไร? เพราะเรามีเจตนา เรามีความมุ่งมั่นของเรา

ถ้าการภาวนาก็เหมือนกัน ถ้าเรามีความมุ่งมั่นของเรา หัวใจของเราเด็ดเดี่ยวขึ้นมา มันก็เหมือนอย่างนี้ เราจะไปถึงปลายทางของเราได้ เราจะไปถึงที่ตำบลของเราได้ เราจะไปถึงด้วยความมุมานะของเรา ถ้าใจมันเชื่อ มันมีศรัทธา ศรัทธามันดึงมา เห็นไหม ได้ฟังธรรม สิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังได้ฟังอีก ฟังแล้วให้ตอกย้ำเข้าไป ตอกย้ำเข้าไปนะ เพราะอะไร? เพราะเวลาเราประพฤติปฏิบัติ ถ้าเราลังเลสงสัย มีครูบาอาจารย์พูดออกมาให้เรา ตรงกับความรู้สึกเรา เราจะมั่นใจของเรา เห็นไหม มันฟันธงได้ไง ตอกย้ำตรงนี้

นี่ลังเลสงสัย ไม่น่าจะใช่อย่างนี้หรอก มันต้องเป็นอย่างนี้ ก็โลเลๆ อย่างนี้ มันไปไม่ได้สักที แต่ถ้าครูบาอาจารย์ฟันธงนะ ใช่! แล้วไปได้เลย เห็นไหม จะไปทางนี้ จะไปอย่างนี้ พอไปทางนี้ปั๊บมันก็มีอุปสรรค อุปสรรคตลอดไป เพราะอะไร? เพราะกิเลสมันอยู่กับความรู้สึกของเรา มันจะทันเราตลอดเวลา เราคิดอะไร เราทำอะไร กิเลสมันรู้จักกับเราตลอดเวลา แล้วเราต้องเอาชนะมัน

ถ้าชนะมัน ต้องมีความเข้มแข็ง เอาชนะคนอื่นนะ ถ้าเราชนะเขาไม่ได้นะ เอาผลประโยชน์ให้เขา เขาก็ยอมแพ้เรานะ แต่ถ้าเราเอาชนะตัวเราเองได้นี่ ผลประโยชน์น่ะมันรู้ทั้งนั้น แล้วผลประโยชน์ที่เราให้มัน มันเอาผลประโยชน์นั้นมาหลอกเราอีกต่างหาก เพราะอะไร? เพราะมันต้องการให้เราอยู่ในอำนาจของมัน เห็นไหม เราจะแพ้เราเองตลอดไป ถ้าเราชนะเราเองขึ้นมา มันจะมีความเข้มแข็งของมันขึ้นมา มันชนะตัวมันเองขึ้นมา ถ้าชนะได้หนหนึ่ง เห็นไหม เราเคยชนะได้สักหนหนึ่งมันจะมีชนะครั้งต่อๆ ไป เราไม่เคยชนะตัวเองแม้แต่หนเดียวเลย เราจะแพ้ศิโรราบกับมันตลอดเวลา มันต้องการสิ่งใด มันแสวงหาสิ่งใด เราจะต้องเอามาปนเปรอมันตลอดเวลา แล้วเราก็จะเป็นขี้ข้ามันตลอดไป

สิ่งนี้คืออะไร? คือพญามารไง สิ่งที่มันปกครองเรา เราว่าเราเป็นอิสระนะ เราอยู่ของเราเราจะคิดอะไร เรามีอิสระ.. ไม่เป็นอิสระเลย มันตกอยู่ใต้ของวัฏฏะ วัฏฏะนี่มันจะเวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะนี้ แล้วเวลาเกิดดับๆ ในหัวใจนี้ นรก-สวรรค์ในอก เห็นไหม เกิดดับๆ เกิดดับตลอดไป ถ้าเกิดในสิ่งที่ดี เราสร้างสวรรค์ของเรา แล้วสร้างสวรรค์มันสร้างได้ยาก แต่การสร้างนรกมันสร้างได้ง่าย แล้วนรกมันก็เผาเรา เห็นไหม แล้วถ้าสวรรค์ขึ้นมา มันจะมีความพอใจชั่วครั้งชั่วคราว

นี่ให้มีจุดยืนอย่างนี้ จุดยืนอย่างไร? นรก-สรรค์มันเกิดดับ แล้วใครเป็นคนรับผลล่ะ ก็หัวใจเรา ความรู้สึกเรานี่คิดดี พอมันผ่านพ้นไปแล้ว เราก็อ้อ...เราคิดดี มันคิดชั่ว มันผ่านพ้นไปแล้ว เราก็ว่าคิดชั่ว แล้วใครเป็นคนรับนี่ คิดดีคิดชั่วใครเป็นคนรับ? ก็หัวใจเราเป็นคนรับไง แล้วถ้าหัวใจเราเป็นคนรับ หัวใจมันพัฒนาขึ้นมา มันเห็นว่าถ้าในสิ่งที่ไม่ดี เราควรจะตั้งสติไว้ต่อต้านมัน ถ้าสิ่งที่ดีแล้วเราควรจะส่งเสริมมัน เห็นไหม

รถมีทั้งเบรก ต้องเบรกนะ รถไม่มีเบรก รถเบรกแตก เห็นไหม ตกข้างทางทุกทีเลย ถ้ารถมีครบหมดทั้งมีคันเร่ง ทั้งมีเบรก ถึงที่สิ่งที่มันไม่สมควรเราต้องเบรกไว้ นี่สิ่งที่คิดไม่ดีต้องเบรกไว้ ต้องมีสติเบรกไว้ สิ่งนี้มีคันเร่ง นี่ไง ถ้ามันศรัทธา มันมีศรัทธา มันมีหยาบ มีความดูดดื่ม มีการกระทำรีบทำเลยนะ ถ้าทำเข้าไปนะ จิตได้สัมผัสขึ้นมานี่สันทิฏฐิโก ไม่มีกาล ไม่มีเวลา จะเวลาไหนก็แล้วแต่ความสุขเป็นความสุข ความทุกข์เป็นความทุกข์ในหัวใจ ไม่มีกาลไม่มีเวลาหรอก จะดึกดื่นค่ำมืดขนาดไหน จะสว่างขนาดไหนแล้วแต่ ถ้าเราทำได้ขณะใดต้องรีบทำขณะนั้นเลย ถ้าทำขึ้นมาแล้ว ถ้าได้สัมผัสแล้ว เราได้สัมผัสแล้ว

ดูสิเขาหาแร่ธาตุกัน ถ้าเขาแสวงหากัน ถ้าเขาขุด เขาเจอแหล่งแร่ธาตุ เขาจะได้ประโยชน์ของเขา นี่เราแร่ธรรมไง ธรรมในหัวใจของเรา คุณประโยชน์ที่ประเสริฐอยู่ที่นี่ ถ้าเราค้นคว้าในหัวใจของเรา ถ้าค้นออกมาเจอในหัวใจของเรา ประเสริฐมันประเสริฐที่นี่ แต่เราค้นคว้าแล้ว เห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านบอก “ขุดน้ำไง เราขุดบ่อกัน ถ้าใครแหล่งน้ำตื้น แหล่งน้ำลึก ต่างคนต่างต้องขุดของตัวเองเข้าไป แล้วจะเจอน้ำของตนเอง”

หัวใจอยู่ในกลางหัวอกเรานี้ เราหากันไม่เจอ ถ้าเราหาเจอขึ้นมา เราจะมีความสุขพอสมควร พอสมควรนะ ถ้ามันมีความสงบเข้ามา แล้วถ้าเรามีอำนาจวาสนา เราเกิดวิปัสสนาญาณขึ้นมา ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิบัติกันอย่างนี้ ถ้ามันปฏิบัติเข้าไป เราจะทำให้แหล่งน้ำของเราคงที่ของเราตลอดไป

แหล่งน้ำนี่เขาจะนาล่ม เขาจะแล้ง เขาจะล่ม เขาจะน้ำหลากขนาดไหน เรามีบ่อน้ำของเรา เรามีที่อาศัยของเรา เราจะไม่ตื่นเต้นไปกับกระแสโลก เห็นไหม นี่เอาชนะตนเอง ถ้าเอาชนะตนเองได้ประเสริฐที่สุด สิ่งที่ประเสริฐที่สุด วันนี้วันของเรานะ อุปสรรคชีวิต วันของเราคือวันพระ พระผู้ประเสริฐ ผู้ประเสริฐคือหัวใจเราประเสริฐ หัวใจของเรานะ พุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

เวลาเรากราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เห็นไหม กราบพระนี่ กราบอะไร? ไม่ได้กราบทองเหลืองนะ กราบถึงคุณธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัญญาคุณ เมตตาคุณ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยายามรื้นค้นนะ พระโพธิสัตว์ต้องสละมา ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย จะต้องเสียสละ ต้องต่อสู้มาตลอด แล้วรื้นค้นอย่างนี้มา แล้ววางไว้ให้เรา เห็นไหม

นี่กราบถึงพระพุทธ กราบถึงปัญญาคุณ เมตตาคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

กราบพระธรรม พระธรรม คือสิ่งที่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้ามา

กราบพระสงฆ์ พระสงฆ์ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการจนปัญจวัคคีย์เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าเรากราบถึงนั่น กราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็เท่ากับกราบหัวใจเรา เพราะพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มันอยู่ที่พุทธ อยู่ที่ความรู้สึก อยู่ที่ความรู้สึกนะ เรากราบจากข้างนอกขึ้นมา

เราจะแสวงหา เราจะหาทำธุรกิจ ทำธุรกิจของเราต้องหาตลาด หาสิ่งต่างๆ เข้ามา แล้วผลประโยชน์ใครเป็นคนได้ล่ะ เราเป็นคนเจ้าของบัญชีนั้นใช่ไหม นี่ก็เหมือนกัน เรากราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จากรัตนตรัย จากที่พึ่งอาศัย แล้วเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา พระพุทธพระธรรม พระสงฆ์ จะกังวานในหัวใจ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เห็นไหม กราบจากข้างนอกนี่ใจมันถึงไง ถึงจากธรรม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จากข้างนอก ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จากข้างใน แล้วถึงหัวใจของเรา แล้วมันอยู่ที่ไหน แล้วเราจะน้อยเนื้อต่ำใจไปอย่างไรว่าเราต่ำต้อยกว่าใคร

นี้มีชีวิต มีความรู้สึก จะมั่งมีศรีสุข ทุกข์จนเข็ญใจเสมอภาค เสมอภาคด้วยมีหัวใจเหมือนกัน มีความรู้สึกเหมือนกัน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มีทุกคน เห็นไหม มีความสุข มีทุกข์ทุกคน แล้วถ้าเอาชนะใจของตนเองได้ คนนั้นประเสริฐที่สุด เอวัง